วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดพัทลุง

           พัทลุง    เป็นเมืองเก่าแก่ สร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ.1480 เก่าแก่กว่าสุโขทัย คือ เป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรศรีวิชัยและอาณาจักรตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช) สลับผลัดเปลี่ยนกันบางช่วง ที่ตั้งของเมืองเดิมอยู่ที่ยะลา ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ที่ท่าเสม็ด ควนมะพร้าว และบ้านม่วง และในปี พ.ศ.2315 ย้ายเมืองมาอยู่ที่อำเภอลำปาย จนกระทั่งครั้งสุดท้าย ย้ายมาอยู่ ณ ที่ตั้งปัจจุบัน และได้รับการยกฐานขึ้นเป็นจังหวัดเมื่อปี พ.ศ.2476 
จังหวัดพัทลุง แบ่งการปกครองออกเป็น 11 อำเภอ คือ 
อำเภอเมือง
อำเภอเขาชัยสน
อำเภอบางแก้ว 
อำเภอควนขนุน 
อำเภอปากพะยูน 
อำเภอกงหรา
อำเภอตะโหมด 
อำเภอป่าบอน 
อำเภอศรีบรรพต 
อำเภอป่าพะยอม
อำเภอศรีนครินทร์
จังหวัดพัทลุงมีสถานที่ท่องเที่ยวที่หน้าสนใจและสวยงามอยู่หลายที่เรามาดูสถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดพัทลุงกันเลยว่ามีที่ไหนหน้าสนใจบ้าง
          1) น้ำตกไพรวัลย์ ตั้งอยู่ในหน่วยพิทักษ์ป่าบ้านพูด เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด ตำบลคลองเฉลิม เส้นทางเข้าใช้เส้นทางจากบ้านคลองหมวยไปตามถนนตำบลลำสินธุ์-บ้านกงหรา (ทางหลวงหมายเลข 4122) ประมาณ 20 กิโลเมตร มีทางเข้าน้ำตกอยู่ทางทิศตะวันตกเป็นทางลูกรังระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตรเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มีความงดงามตามธรรมชาติเงียบสงบ และร่มเย็น อุดมไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิดบริเวณน้ำตกมีลานจอดรถและร้านอาหารไว้บริการ
           2) เกาะสี่ เกาะห้า อยู่ในเขตทะเลสาบสงขลา-พัทลุง เป็นที่อยู่ของนกนางแอ่นทะเลเป็นจำนวนมาก จึงถูกเรียกว่า "เกาะรังนก" มีการขอสัมปทานเพื่อนำรังนกเหล่านี้ไปจำหน่าย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เคยเสด็จประพาสและทรงจารึกพระปรมาภิไธยย่อไว้ ณ บริเวณหน้าผา การเข้าชมเกาะขออนุญาตได้จากบริษัท สัมปทานรังนก อำเภอปากพะยูนก่อน
           3)  อุทยานนกน้ำทะเลน้อย เป็น อุทยานนกน้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4048 จากอำเภอเมืองพัทลุง-อำเภอควนขนุน ไปดที่ทะเลน้อย ระยะทาง 32 กม. ทางราดยางตลอดทั้งสาย เป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่า มีพื้นที่ประมาณ 281,250 ไร่ โดยมีพื้นน้ำประมาณ 17,500 ไร่ อยู่บริเวณเหนือสุดของทะเลสาบสงขลา ทะเลน้อยเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่มีนกอยู่มากมายกว่า 150 ชนิด จำนวนไม่ต่ำกว่า 100,000 ตัวนกที่มีมากได้แก่ นกอีโก้ง นกพริก นกเป็ดแดง นกเป็ดคับแค นกเป็ดผี นกกาบบัว นกอีล้ำ นกอีลุ้ม นกกะปูด นกนางนวล นกนางแอ่น นกยางเฟีย นกอัญชัญ นกกระสาแดง นกกระสานวล อีกา เหยี่ยวต่างๆ ฤดูกาลที่เหมาะที่สุดสำหรับการไปดูนก คือช่วงเดือนธันวาคมถึงเมษายน และที่ทะเลน้อยยังมีพันธุ์ไม้หลายชนิด เช่น ย่านลิเภา จูดหนู แขม กก สามเหลี่ยม กง ลาโพ จูด บัวหลวง บัวสายแดง บา จอกหูหนู ผักตบชวา และสาหร่ายต่างๆ เป็นต้น ปัจจุบันทะเลน้อยได้รับเลือกให้เป็นแรมซ่าร์ไซด์ หรือพื้นที่ชุ่มน้ำของโลก เป็นแห่งแรกของประเทศไทย
 
          4) บ่อน้ำร้อน-ธารน้ำเย็น จาก ตัวจังหวัดไปทางใต้ ตามทางหลวงหมายเลข 4 ประมาณ 25 กิโลเมตร เมื่อถึงกิโลเมตรที่ 47 (บ้านท่านางพรหม) จะมีทางแยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 4081 ไปอำเภอเขาชัยสน ประมาณ 6 กิโลเมตร บริเวณถนนสุขาภิบาล ซอย 2 ติดที่ว่าการอำเภอเขาชัยสน จะมีทางลูกรัง แยกขวามือเข้าไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร ก็ถึงหน้าผาเชิงเขาชัยสน อันเป็นที่ตั้งของบ่อน้ำเย็นแต่งเป็นสวนพักผ่อน เลยไปอีก 300 เมตร เป็นวัดบ่อน้ำร้อน ลักษณะเป็นแอ่งน้ำร้อน เชื่อกันว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ใช้รักษาโรคบางอย่างได้
         5) อุทยานแห่งชาติเขาปู่เขาย่า ตั้ง อยู่ที่บ้านในวังตำบลเขาปู่ อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ37 กิโลเมตร โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 41ไปอำเภอควนนุน แล้วไปแยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 4164 สู่อำเภอศรีบรรพตเข้าไปประมาณ 17 กิโลเมตร แล้วแยกซ้ายไปอีก 4กิโลเมตร ก็ถึงที่ทำการอุทยานฯ ซึ่งมีภาพเป็นป่าร่มรื่น มีเนื้อที่รวมทั้งสิ้นประมาณ 433,750 ไร่ หรือ 694 ตารางกิโลเมตรในบริเวณอุทยานฯ มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจคือ ถ้ำมัจฉาปลาวน อยู่ใกล้กับที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยแลดูสวยงามดั่งหลืบม่าน มีแอ่งน้ำกว้างประมาณ 400 ตารางเมตร และมีฝูงปลาว่ายวนไปมาอยู่ในแอ่ง แอ่งน้ำนี้เกิดจากต้นน้ำซึ่งไหลผ่านทะลุเขาในวัง หน้าถ้ำเป็นผาหินสีนิล และร่มรื่นด้วยพรรณไม้นานาชนิด น้ำตกเหรียงทอง อยู่ห่างจากชุมชนตลาดเขาปู่ประมาณ 3 กิโลเมตร ต้นน้ำเกิดจากเทือกเขาบรรทัดและเทือกเขานครศรีธรรมราชและได้รับการขนานนาม ว่า "น้ำตกร้อยชั้น" ชั้นที่สวยงามที่สุด คือ ชั้นที่ 13 ซึ่งมีจุดชมวิวสามารถมองเห็นทิวทัศน์ทะเลน้อยของเขาปู่-เขาย่าได้ จุดชมวิวผาผึ้ง อยู่ห่างจากที่ทำการกลางประมาณ 250 เมตร จุดเด่นของผาผึ้งคือ ในราวประมาณเดือนกุมภาพันธ์-เมษายนของทุกปี จะมีผึ้งหลวงมาทำรังนับเป็นร้อยรังบริเวณหน้าผาและเมื่อถึงฤดูฝนผึ้งเหล่า นี้ก็จะทิ้งรังปล่อยให้เป็นรังร้าง ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ทุกปี บริเวณจุดชมวิวผาผึ้งนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของอุทยานและพรรณไม้ต่าง ๆ ได้ ทางเดินชมธรรมชาติ เป็นทางสำหรับเดินชมธรรมชาติ อยู่ในบริเวณที่ทำการอุทยานฯ มี 2 เส้นทาง แต่ละเส้นทางมีความกว้างประมาณ 3 เมตร เหมาะสำหรับเดินชมธรรมชาติเพื่อเป็นการศึกษา หาความรู้เกี่ยวกับพรรณไม้ และเมื่อความเพลิดเพลินได้นอกจากนี้ ในบริเวณที่ทำการอุทยานฯ ยังมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นศูนย์จัดนิทรรศการ ขนาดย่อม สำหรับให้ความรู้ความเข้าใจแก่นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชม ซึ่งทางอุทยานฯ ได้จัดแสดงนิทรรศการภาพประกอบคำบรรยายไว้พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่ไว้คอย อธิบายให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยว มีห้อง สำหรับจัดประชุมและสัมมนาขนาดจุได้ประมาณ 30 คน และในบริเวณใกล้เคียงกันทางอุทยานฯ ได้จัด สถานที่สำหรับกางเต็นท์ได้ประมาณ 50 หลัง
         6)  หาดแสนสุขลำบำ อยู่เลยจากวัดวังไปตามถนนหลวงหมายเลข 4047 ประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นหาดทรายที่มีทัศนียภาพที่สวยงามและมีทิวสนที่ร่มรื่น อยู่ริมฝั่งทะเลสาบสงขลา เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย มีศาลากลางน้ำขื่อ ศาลาลำบำที่รัก สำหรับชมทิวทัศน์รอบทะเลสาบ และจากบริเวณชายหาดมีสะพานเชื่อมไปยังเกาะลอย ซึ่งเป็นเกาะที่เกิดจากการทับถมของตะกอนปากน้ำลำบำ นอกจากนี้ที่ลำบำแห่งนี้ยังพบฝูงปลาโลมาหัวบาตรปรากฏให้เห็นได้บ่อยครั้ง
        7)  อนุสาวรีย์พระยาทุกขราษฎร์ (ช่วย) ประดิษฐาน อยู่ที่สามแยกท่ามิหรำ เทศบาลเมืองพัทลุง ประวัติกล่าวว่า เดิมท่านเป็นพระชื่อว่ามหาช่วยจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าเลไลยก์ ในสมัยรัชกาลที่ 1 ขณะนั้นเกิดสงคราม 9 ทัพ พระมหาช่วยได้ออกมาช่วยพระยาพัทลุง นำชาวบ้านเข้าต่อต้านกองทัพพม่าจนแตกพ่าย ต่อมาจึงได้ลาสิกขาแล้วได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระยาทุกขราษฎร์ มีตำแหน่งเทียบเท่าเจ้าเมือง
        8) วังเจ้าเมืองพัทลุง (วังเก่า-วังใหม่) ตั้งอยู่ใกล้กับวัดวัง แต่เดิมเป็นที่ว่าราชการและเป็นที่พักอาศัยของเจ้าเมืองพัทลุง ปัจจุบัน ยังเหลืออยู่ส่วนหนึ่งคือ วังเก่า สร้างในสมัยพระยาพัทลุง (น้อย จันทโรจนวงษ์) เป็นผู้ว่าราชการต่อมาวังได้ตกทอดมาถึงนางประไพ มุตามะระบุตรีของหลวงศรีวรฉัตร ส่วนวังในสร้างเมื่อปี พ.ศ.2432 โดยพระยาอภัยบริรักษ์จักราวิชิตพิพิธภักดี (เนตร จันทโรจนวงษ์) บุตรชายของพระยาพัทลุง ปัจจุบันทายาทของตระกูลจันทโรจนวงษ์ ได้มอบวังนี้ให้เป็นสมบัติของชาติแล้ว ซึ่งกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติเมื่อ พ.ศ.2526
 

      9) ภูเขาอกทะลุ เขา อกทะลุเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดพัทลุง มีความสูงประมาณ 250 เมตร มีบันไดและทางปีนขึ้นเขาเพื่อชมความงามของเมืองพัทลุง ลักษณะพิเศษของภูเขาอกทะลุคือ มีโพรงทะลุมองเห็นอีกด้าน อยู่บริเวณปลายของยอดเขา ซึ่งเป็นที่มาของชื่อภูเขาอกทะลุ

        10)  วัดเขียนบางแก้ว ไปตามถนนทางหลวงหมายเลข 4081 อยู่ในเขตอำเภอบางแก้วตรง กม. ที่ 14 ทางเข้าอยู่ทางซ้ายมือ เป็นวัดเก่าแก่ที่มีพระธาตุบางแก้ว สร้างแบบเดียวกับพระธาตุนครศรีธรรมราชแต่ขนาดเล็กกว่า เป็นปูชนียสถานที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดพัทลุงเชื่อว่าสร้างมา ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น สันนิษฐานว่าพื้นที่บริเวณวัดเขียนบางแก้วเคยเป็นที่ตั้งเมืองพัทลุงมาก่อน เพราะค้นพบซากปรักหักพังของศิลาแลง และพระพุทธรูปมากมาย

         11)  ถ้ำมาลัย อยู่ ห่างจากสถานีรถไฟพัทลุงประมาณ 2 กิโลเมตร ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 7-8 มีทางถนนลูกรังแยกซ้ายมือเข้าไปอีก 2 กิโลเมตร ถ้ำนี้อยู่ในเทือกเขาลูกเดียวกับเขาอกทะลุ ถูกพบโดยพระธุดงค์ที่เดินธุดงค์มาจากภาคอีสานชื่อพระมาลัย จึงตั้งชื่อถ้ำตามผู้ค้นพบ ภายในถ้ำมีลักษณะกว้างขวางสลับซับซ้อน มีหินงอกหินย้อยที่สวยงามมาก และมีแอ่งน้ำใสอยู่ตอนในสุดของถ้ำด้วย

        12)  ถ้ำสุมโน ตั้ง อยู่ที่ตำบลบ้านนา ห่างจากตัวเมืองพัทลุงไปตามถนนสายพัทลุง-ตรัง ประมาณ 21 กิโลเมตร ตัวถ้ำอยู่ห่างจากถนนใหญ่ประมาณ 500 เมตร ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยที่สวยงาม วิจิตรตระการตาถ้ำมี 2 ชั้น ชั้นแรกเสมอกับพื้นราบและชั้นใต้ดิน ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปปางต่างๆ ประดิษฐานอยู่ นอกจากนี้ถ้ำสุมโนยังเป็นสถานที่ฝึกวิปัสสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียงของภาคใต้ อีกแห่งหนึ่งด้วย
        13)  วัดวัง ตั้งอยู่ที่ตำบลลำบำ อยู่ห่างจากตัวเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข 4047 ประมาณ 6 กิโลเมตร สร้างในสมัยรัชการที่ 3 โดยพระยาพัทลุง (ทองขาว) เคยเป็นสถานที่ทำพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาในสมัยรัตนโกสินทร์ ภายในวัดเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป 108 องค์ ซึ่งประดิษฐานเรียงรายอยู่ตามระเบียงคต
        14) วัดคูหาสวรรค์ วัด นี้สร้างในสมัยอยุธยา ต่อมาได้รับการยกฐานะเป็นพระอารามหลวงแห่งแรกในจังหวัดพัทลุง อยู่ใกล้กับตลาดพัทลุงภายในวัดนี้ถ้ำซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปาง ไสยาสน์องค์ใหญ่ และยังมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ตามผนังถ้ำด้วย บริเวณหน้าถ้ำ ยังมีจารึกพระปรมาภิไธยย่อของพระมหากษัตริย์และเชื้อพระวงศ์อยู่หลายพระองค์
        15) พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ หรือที่เรียกว่า พระสี่มุมเมือง เป็นพระพุทธรูปประจำภาคใต้ และเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวจังหวัดพัทลุง ประดิษฐานอยู่ภายในศาลาจัตุรมุข ซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าระหว่างศาลากลางเมืองจังหวัดพัทลุงกับศาลจังหวัด พัทลุงเป็นพระพุทธรูปหล่อสำริดปางสมาธิที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน โปรดเกล้าฯ พระราชทานไว้ที่จังหวัดพัทลุง เมื่อปี พ.ศ.2511 
สถานที่ทั้งหมดที่ดิฉันได้กล่าวมานั้นล้วนแต่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเป็นสถานที่ศักสิทธิ์ที่ชาวบ้านจังหวัดพัทลุงได้นับถือกันมาเป็นเวลายาวนาน สุดท้ายนี้ดิฉันก็ขอเชิญชวนให้ทุกท่านไปเที่ยวชมสถานที่เหล่านี้กันเยอะๆๆนะค่ะ

วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

ภาคผนวก (Appendix)

ดร.พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2544 : 392) ได้ กล่าวว่าภาคผนวกเป็นรายละเอียดต่างๆที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยที่ต้องนำเสนอ ยืนยันเพื่อแสดงถึงการดำเนินการวิจัยอย่างเป็นระบบ และเพิ่มความน่าเชื่อถือของผลงานวิจัยอีกทั้งจะเป็นการช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจ รายงานการวิจัยได้ดียิ่งขึ้น และได้เห็นแบบอย่างหรือแนวทางการดำเนินงานในบางประการ ภาคผนวกมีหลายลักษณะซึ่งอาจนำเสนอแยกเป็นหมวดหมู่เป็นภาคผนวก ก ภาคผนวก ข ภาคผนวก ค ฯลฯ และอาจเรียงลำดับตามขั้นตอนของกระบวนการวิจัย 

          พรศรี ศรีอัษฎาพร, ยุวดี วัฒนานนท์ (2529 : 161) ได้ กล่าวว่าภาคผนวกอาจมีหรือไม่มีก็ได้ แต่ถ้ามีสิ่งใดที่มีความสำคัญ และไม่ต้องการให้สื่อความหมายหรือความเข้าใจไปพร้อมกับการอ่านรายงาน ให้นำไปใส่ไว้ในภาคผนวก เช่น แบบสอมถาม แบบสัมภาษณ์ แบบฟอร์มการเก็บรวบรวมข้อมูล หรือตารางบางตาราง

           ผศ.เรืองอุไร ศรีนิลทา (2535 : 236) ได้ กล่าวว่าภาคผนวกเป็นตอนสุดท้ายของรายงานวิจัย ซึ่งอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้แล้วแต่ความจำเป็น หลักการทั่วไปเกี่ยวกับภาคผนวกได้แก่ ภาคผนวกคือที่สำหรับรวบรวมข้อมูลและข้อสนเทศทั้งหลาย ที่ไม่ถึงกับจำเป็นที่จะต้องเสนอไว้ในตัวเรื่อง แต่ก็อาจจะมีความสำคัญในการขยายความสาระสำคัญบางสาระเพื่อความชัดเจนยิ่ง ขึ้น และข้อมูลและข้อสนเทศที่สำคัญมากที่ควรเสนอไว้ในตัวเรื่อง แต่จำนวนรายการของข้อมูลหรือข้อสนเทศชุดนั้นมากเกินไป จึงไม่เหมาะแก่การนำเสนอในตัวเรื่อง
สรุป        
ภาคผนวกคือ ข้อมูลในส่วนที่ใช้ในการอ้างอิงข้อมูลต่างๆในงานวิจัยเพื่อให้เกิดความเข้า ใจมากขึ้นโดยเป็นข้อมูลที่ไม่จำเป็นที่จะต้องนำมเสนอในส่วนเนื้อหาหลักแต่นำ มาใส่เอาใว้ในตอนท้ายของรายงานการวิจัยแทน เช่น แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบฟอร์มการเก็บรวบรวมข้อมูล ฯลฯ
 อ้างอิง
ดร.พิชิต ฤทธิ์จรูญระเบียบวิธีการวิจัยทางสัมคมศาสตร์. กรุงเทพฯ : ศูนย์
                หนังสือราชภัฏพระนคร, 2544. เข้าถึงเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2555
พรศรี ศรีอัษฎาพร, ยุวดี วัฒนานนท์สถิติและการวิจัยเบื้องต้น.
                 กรุงเทพฯ : สามเจริญพานิช, 2529.เข้าถึงเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2555
ผศ.เรืองอุไร ศรีนิลทาระเบียบวิธีวิจัย. กรุงเทพฯ : สำนักส่งเสริมและฝึก
                  อบรมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์,2535.เข้าถึงเมื่อ 26 พฤศจิกายน
                  2555

เอกสารอ้างอิง (References)

   สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์ (2538 : 441) กล่าวว่า เป็นส่วนที่เสนอรายชื่อบทความ เอกสารสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ที่ผู้วิจัยได้รวบรวม อ่านและใช้ในการวิจัย หากมีเอกสารอ้างอิงทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยเป็นจำนวนมาก ควรแยกออกเป็น 2 ส่วน ระบุว่าเอกสารอ้างอิงที่เป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ
          วัลลภ ลำพาย (2547 : 178) กล่าวว่า ส่วนนี้เป็นส่วนที่ประกอบด้วยรายการเอกสารต่าง ๆ ที่ได้อ้างอิงไว้ในวิทยานิพนธ์หรือรายงานการวิจัย เอกสารทุกเล่มที่อ้างอิงไว้ในส่วนของเนื้อหาจะต้องปรากฏอยู่ในเอกสารอ้างอิง การจัดลำดับของเอกสารอ้างอิงนั้น จัดลำดับตามตัวอักษรของชื่อผู้แต่ง ซึ่งถ้าเป็นภาษาไทยจะเป็นชื่อต้น แต่ถ้าเป็นภาษาต่างประเทศจะเป็นชื่อท้าย จัดลำดับเอกสารภาษาไทยก่อนแล้วตามด้วยภาษาต่างประเทศ
         พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2544 : 389) กล่าว ว่า เป็นรายชื่อเอกสารหนังสือ สิ่งพิมพ์และวัสดุอ้างอิงทั้งหมดที่ผู้วิจัยนำมาใช้ประกอบการเขียน ศึกษาค้นคว้าและอ้างอิงในงานวิจัยของตน เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าการเขียนรายงานการวิจัยเป็นการศึกษาค้นคว้าจาก แหล่งที่เชื่อถือได้ โดยรวบรวมไว้ตอนท้ายของรายงานเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจได้ติดตาม ศึกษาเพิ่มเติมจากเอกสารเหล่านั้น
สรุป
                การ เขียนรายงานการวิจัยเมื่อได้อ้างอิงแหล่งข้อมูลมาสนับสนุนในเนื้อเรื่องแล้ว เมื่อจบรายงาน การวิจัยจะต้องรบกวนหนังสือ เอกสารและหลักฐานที่เป็นแหล่งข้อมูลทั้งหมดไว้ด้วยกันท้ายรายงาน ซึ่งรายการหนังสือทั้งหลายที่รวบรวมไว้นี้ เรียกว่า บรรณานุกรม หรือ เอกสารอ้างอิง
อ้างอิง
พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2544). ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์. กรุงเทพฯ : ศูนย์
              หนังสือราชภัฏพระนคร.   เข้าถึงเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2555
วัลลภ ลำพาย. (2547). เทคนิควิจัยทางสังคมศาสตร์. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์
               มหาวิยาลัยเกษตรศาสตร์.  เข้าถึงเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2555
สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์. (2538). ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์. พิมพ์
               ครั้งที่ 9 กรุงเทพฯ :สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.   เข้าถึงเมื่อ 
               26 พฤศจิกายน 2555

งบประมาณ (Budget)

สมนึก  เอื้อจิระพงษ์พันธ์ (2539 : 201 – 249)  ให้ความหมายไว้ คือ งบประมาณ หมายถึงแผนการดำเนินงานอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรขององค์การใดองค์การหนึ่ง สำหรับระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่งในภายหน้า ซึ่งแผนการดำเนินงานนี้อาจจะมีลักษณะเป็นแผนระยะยาว เช่น งบประมาณที่มีระยะเวลา 3 ปี  5 ปี  หรือ 10  ปี หรืออาจจะเป็นแผนระยะสั้น  เช่น  งบประมาณรายเดือน 3 เดือน  6  เดือน  หรือ 1 ปี 
      กิ่งกนก พิทยานุคุณ (2527 : 152 – 160) ได้สรุปความหมายของงบประมาณ คือ การจำกัดวงเงินที่จะใช้งบประมาณประจำปี  เป็นการแสดงวัตถุประสงค์ที่ฝ่ายบริหารมีอยู่ในขณะนั้นออกมาเป็นตัวเลข รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงแผนการดำเนินงาน และวิธีการจัดหาเงินมาใช้ในองค์การ ในระหว่างปีด้วย
  อรชร  โพธิ (2545 : 210) กล่าวว่างบประมาณ  หมายถึงระบบการวางแผนงานที่เกี่ยวข้องกับตัวเลขทางการเงินสำหรับการดำเนินธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต   โดยครอบคลุมถึงวัตถุประสงค์  เป้าหมาย  และนโยบายในการดำเนินงานขององค์การ   การจัดสรรทรัพยากรไปใช้เพื่อบรรลุถึงวัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์กร  และผลที่คาดว่าจะได้รับจากการดำเนินงานตามแผนนั้น ๆ
สรุป
              งบประมาณ หมายถึง แผนการดำเนินงานในการจัดหาเงินมาใช้ในกิจการ ซึ่งจะแสดงเป็นตัวเลข ในรูปของจำนวนหน่วยและจำนวนเงินที่จะใช้ดำเนินงาน  สำหรับระยะเวลาในภายหน้า การจัดทำงบประมาณจะจัดทำล่วงหน้า   ถ้าเป็นงบประมาณระยะสั้นก็จะมีระยะเวลา 3 เดือน  6 เดือน  หรือ  1 ปี   และถ้าเป็นงบประมาณระยะยาวจะมีระยะเวลา  3  ปี   5  ปี   การจัดทำงบประมาณมีความสำคัญและเป็นประโยชน์ในทางการบริหาร   และเป็นที่ยอมรับสำหรับการช่วยตัดสินใจของผู้บริหารได้
อ้างอิง
กิ่งกนก   พิทยานุคุณ  และคณะ การบัญชีต้นทุน   กรุงเทพ :  โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,
          2527, หน้า 152 – 160. เข้าถึงเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2555
อรชร  โพธิสุข และคณะ  เอกสารการสอนการบัญชีต้นทุนและการบัญชีเพื่อการจัดการ  กรุงเทพ :
          สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2545, หน้า 157 – 210. เข้าถึงเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2555
สมนึก  เอื้อจิระพงษ์พันธ์  การบัญชีต้นทุน  แนวคิดและการประยุกต์เพื่อการตัดสินใจเชิงการ
          บริหาร  กรุงเทพ : หจก. สยามเตชั่นเนอรี่ ซัพพลายส์, 2539, หน้า 201 – 249. เข้าถึงเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2555

การบริหารงานวิจัยและตารางการปฎิบัติงาน (Administration & Time Schedule)

พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว (2545 : 728) การบริหารจัดการเป็นกลไกสำคัญในการดำเนินงานการวิจัยให้ประสบความสำเร็จ ประกอบกับสิ่งอำนวยความสะดวก คือ โครงการพื้นฐานต้องพอเพียงซึ่งหมายถึงงบประมาณการวิจัย นักวิจัยหน่วยงานเป็นสิ่งจำเป็นในการทำให้ระบบการวิจัยดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ หากมีการบริหารจัดการที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูง 
ภิรมย์ กมลรัตนกุล (2531 : 8) การบริหารงานวิจัย คือ กิจกรรมที่ทำให้งานวิจัยนั้น สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี  โดยมีการวางแผน ดำเนินงานตามแผน และประเมินผลในการเขียนโครงร่างการวิจัย ควรมีผลการดำเนินงานตั้งแต่เริ่มแรกจนเสร็จสิ้นโครงการเป็นขั้นตอน ดังนี้
        1.  วิเคราะห์ปัญหาและกำหนดวัตถุประสงค์
        2.  กำหนดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งเอาไว้ เช่น
     2.1 ขั้นเตรียมการ
ติดต่อเพื่อขออนุมัติดำเนินการ
ติดต่อผู้นำชุมชน
การเตรียมชุมชน
การคัดเลือกผู้ช่วยนักวิจัย
การเตรียมเครื่องมือที่จะใช้ในการสำรวจ
การอบรมผู้ช่วยนักวิจัย
การทดสอบเครื่องมือในการสำรวจ
การแก้ไขเครื่องมือในการสำรวจ
2.2 ขั้นปฏิบัติงาน
ขั้นการวิเคราะห์ข้อมูล
ขั้นการเขียนรายงาน
3. ทรัพยากรที่ต้องการของแต่ละกิจกรรมรวมทั้งเวลาที่ใช้
4. การดำเนินงาน ต้องตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล การจัดสรรงบประมาณ และการรวบรวมข้อมูลสำหรับการบริหารงานบุคคล จำเป็นต้องดำเนินการวางแผนกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับ
ก. การจัดองค์กร เช่น การกำหนดหน้าที่ของคณะผู้ร่วมวิจัยแต่ละคนให้ชัดเจน การประสานงาน การสรรหาและการพัฒนาบุคคลากร เป็นต้น
ข. การสั่งงาน ได้แก่ การมองหมายงาน การควบคุม เป็นต้น
ค. การควบคุมการจัดองค์กร นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการดำเนินงานเพื่อใช้ในการสั่งการ และควบคุมคุณภาพของงานโดยอาจทำเป็น แผนภูมิการสั่งการเพื่อวางโครงสร้างของทีมงานวิจัย กำหนดขอบเขตหน้าที่ตลอดจนติดตามประเมินผลให้บรรลุตามวัตถุประสงค์หรือทำเป็นแผนภูมิเคลื่อนที่
ง. การควบคุมโครงการ เช่น ทำเป็นตารางปฏิบัติงานซึ่งเป็นตารางกำหนดระยะเวลาในการปฏิบัติงานของแต่ละกิจกรรมเพื่อช่วยให้การควบคุมเวลาและแรงงาน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และอาจ ช่วยกระตุ้นให้ผู้วิจัยทำเสร็จทันเวลา ตารางปฏิบัติงานจะดูความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมที่จะปฏิบัติและระยะเวลาของแต่ละกิจกรรม โดยแนวนอนจะเป็นระยะเวลาที่ใช้ของแต่ละกิจกรรม ส่วนแนวตั้งจะเป็น กิจกรรมต่าง ๆที่ได้กำหนดไว้ จากนั้นจึงใช้แผนภูมิแท่งในการแสดงความสัมพันธ์นี้
จ. การนิเทศงาน ได้แก่ การแนะนำ ดูแล แก้ไขซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมงานให้มีประสิทธิภาพนั่นเอง
เสนาะ ติเยาว์ (2544 : 1) ได้ให้ความหมายของการบริหารงานวิจัย คือ กระบวนการทำงานกับคนและโดยอาศัยคน เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การภายใต้สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งแยกตามสาระของความหมายนี้ได้ 5 ลักษณะ คือ
1. การบริหารเป็นการทำงานกับคนและโดยอาศัยคน
2. การบริหารทำให้งานบรรลุเป้าหมายขององค์การ
3. การบริหารเป็นความสมดุลระหว่างประสิทธิผลและประสิทธิภาพ
4. การบริหารเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดและการบริหารจะต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
5. การบริหารที่จะประสบผลสำเร็จจะต้องสามารถคาดคะเนการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง
สรุป
                การบริหารจัดการเป็นกลไกสำคัญในการดำเนินงานการวิจัยให้ประสบความสำเร็จ ประกอบกับสิ่งอำนวยความสะดวก คือ โครงการพื้นฐานต้องพอเพียงซึ่งหมายถึงงบประมาณการวิจัย นักวิจัยหน่วยงานเป็นสิ่งจำเป็นในการทำให้ระบบการวิจัยดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ หากมีการบริหารจัดการที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูง 
อ้างอิง
เสนาะ ติเยาว์หลักการบริหารพิมพ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2544. เข้าถึงเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2555
พรศักดิ์ ผ่องแผ้วศาสตร์แห่งการวิจัยทางการเมืองและสังคม. พิมพ์ครั้งที่ 5 กรุงเทพมหานคร : สมาคมรัฐศาสตร์แห่งประเทศไทย,2545.  เข้าถึงเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2555
ภิรมย์ กมลรัตนกุลหลักเบื้องต้นในการทำวิจัยกรุงเทพมหานคร : เท็กซ์แอนด์เจอร์นัลพับลิเคชั่น จำกัด, 2542.
เข้าถึงเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2555

อุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการวิจัยและมาตรการในการแก้ไข

สุวัฒนา สุวรรณเขตนิคม (2538:6) กล่าวว่า อุปสรรคในการวิจัยที่สำคัญ สรุปได้ ดังนี้
1) ขาดนักวิจัยที่มีคุณภาพ นักวิจัยในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ซึ่งเป็นกำลังหลัก 16,351 - 19,115 คน
สามารถผลิตผลงานวิจัยในเกณฑ์ดี ดีมาก และดีเด่นได้เพียงร้อยละ 5.6 , 0.6 และ 0.1 เท่านั้น
2) ผู้บริหารขาดความสามารถในการบริหารจัดการและไม่เห็นความสำคัญของการวิจัย
3) มีแหล่งเงินทุนเพื่อการวิจัยน้อย
4) นักวิจัยมีภาระงานอื่นที่ต้องปฏิบัติมากทำให้ไม่มีเวลาสำหรับทำวิจัย
5) ขาดผู้ช่วยงาน ทรัพยากรสนับสนุนการวิจัย และมีปัญหาขาดความร่วมมือในการวิจัย
        แนวทางการแก้ไข
1) กำหนดนโยบาย ทิศทาง เป้าหมายหลัก และแผนงานวิจัยระดับชาติที่ชัดเจนและเป็นเอกภาพ
2) สนับสนุนองค์กรจัดสรรทุนอย่างจริงจังให้มีความเป็นอิสระ มีความหลากหลายในทางปฏิบัติ เพื่อให้การจัดสรรทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสัมฤทธิผลของงานวิจัยที่มีคุณภาพ
3) ต้องมีมาตรการการสร้างนักวิจัยที่มีคุณภาพควบคู่ไปกับงานวิจัยของชาติ
4) ระดมทุนและทรัพยากรทั้งภาครัฐและเอกชน มีมาตรการจัดสรรทุนและทรัพยากรที่ดี เพื่อให้ผลิตผลงานวิจัยที่ได้คุณภาพ
5) มีมาตรการสร้างความเข้มแข็งให้แก่หน่วยงานวิจัยเฉพาะทาง
               
           ภิรมย์ กมลรัตนกุล(2531:8)กล่าวว่า การทำวิจัย ต้องพยายามหลีกเลี่ยงอคติ และความคลาดเคลื่อน ที่อาจจะเกิดขึ้น จากการวิจัยนั้น ให้มากที่สุด เพื่อให้ผลการวิจัย ใกล้เคียงกับความเป็นจริง โดยใช้รูปแบบการวิจัยระเบียบวิธีวิจัย และสถิติที่เหมาะสม แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้ว อาจมีข้อจำกัดต่าง ๆ เกิดขึ้น ดังนั้น การคำนึงเฉพาะ ความถูกต้องอย่างเดียว อาจไม่สามารถ ทำการวิจัยได้
         แนวทางการแก้ไข
นักวิจัย อาจจำเป็นต้องมี การปรับแผนบางอย่าง เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ แต่สิ่งสำคัญก็คือ ผู้วิจัย ต้องตระหนัก หรือรู้ถึงขีดข้อจำกัด ดังกล่าวนั้น และมีการระบุ ไว้ในโครงร่าง การวิจัยด้วย ไม่ใช่แกล้งทำเป็นว่า ไม่มีข้อจำกัดเลย จากนั้น จึงคิดหามาตรการ อย่าให้ "ความเป็นไปได้" มาทำลาย ความถูกต้อง เสียหมด เพราะจะส่งผลให้ งานวิจัยเชื่อถือไม่ได้
McLean,J.(1995:91) กล่าวว่า ประเด็นปัญหาที่เกี่ยวกับการวิจัยปฏิบัติการไว้หลายประการ อาทิเช่น ปัญหาการเลือกวิธีการที่ใช้ในการวิจัยระหว่างเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ทักษะในการทำวิจัยของครู วิธีการที่การพัฒนาความสามารถในการทำวิจัยของครู การอ้างอิงผลสรุปจากการวิจัย ความตรงของการวิจัยซึ่งดำเนินการโดยครูอาจไม่มีประสบการณ์เพียงพอในการทำวิจัย และจรรยาบรรณของการทำวิจัยกับนักเรียน
 แนวทางการแก้ไข
อ่านและศึกษาการวิจัยหลายๆตัวอย่างหรืออาจจะศึกษาโดยกรณีตัวอย่างที่เป็นห้องเรียน หรือนักเรียน อาจเปรียบเทียบชั้นเรียนในปีนี้กับชั้นเรียนปีที่แล้ว
สรุป
                การวิจัยมิใช่แต่การมุ่งสร้างองค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับศาสตร์นั้นๆแต่เพื่อแก้ไข้ปัญหา การทำวิจัยเป็นนำเสนอข้อที่ถูกต้องและพิสูจน์มาแล้วว่าเชื่อถือได้สามารถนำมาใช้ แต่ถ้าผู้ทำวิจัยไม่เสนอข้อมูลจริงหรือยอมแพ้มองข้ามอุปสรรคที่เจอเป็นเรื่องเล็กน้อยงานวิจัยก็จะไม่ใช้งานวิจัยที่ถูกต้อง
อ้างอิง
สุวัฒนา สุวรรณเขตนิคม.(2538).หลักการ แนวคิดและรูปแบบเกี่ยวกับการวิจัยในชั้นเรียน.(หน้า 6).  
เส้นทางสู้การวิจัยในชั้นเรียน.กรุงเทพมหานคร:สำนักพิมพ์ บริษัท บพิธการพิมพ์.
เข้าถึงเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2555
ภิรมย์ กมลรัตนกุล (2531). หลักเบื้องต้นในการทำวิจัย. (หน้า 8).กรุงเทพมหานคร:สำนักพิมพ์
หอสมุดกลาง.    เข้าถึงเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2555
สุวิมล ว่องวาณิช.(2544).การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน.(หน้า91).กรุงเทพมหานคร:สำนักพิมพ์ ห้างหุ้นส่วน
            จำกัด โรงพิมพ์อักษรไทย   เข้าถึงเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2555

ผลหรือประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย (Expected Benefits & Application)

http://www.unc.ac.th/elearning/elearning1/Duddeornweb/impact1.htm  ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย เป็นความสำคัญของการวิจัยที่ผู้วิจัยพิจารณาว่าการวิจัยเรื่องนั้นทำให้ทราบผลการวิจัยเรื่องอะไร และผลการวิจัยนั้นมีประโยชน์ต่อใคร อย่างไร เช่น การระบุประโยชน์ที่เกิดจากการนำผลการวิจัยไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มพูนความรู้ หรือนำไปเป็น แนวทางในการปฏิบัติ หรือแก้ปัญหา หรือพัฒนาคุณภาพ หลักในการเขียนมีดังนี้
1. ระบุประโยชน์ที่อาจเกิดจากผลที่ได้จากการวิจัย
2. สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และอยู่ในขอบเขตของการวิจัยที่ได้ศึกษา
3. ในกรณีที่ระบุประโยชน์มากกว่า 1 ประการ ควรระบุเป็นข้อ
4. เขียนด้วยข้อความสั้น กะทัดรัด ชัดจน
5. การระบุนั้นผู้วิจัยต้องตระหนักว่ามีความเป็นไปได้
http://images.arunratbam.multiply.multiplycontent.com/เป็นการย้ำถึงความสำคัญ ของการวิจัยนี้ โดยกล่าวถึง ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ จากการวิจัยอย่างชัดเจน ให้ครอบคลุมทั้งผลในระยะสั้นและระยะยาว ทั้งผลทางตรงและทางอ้อม และควรระบุรายละเอียดว่าผลดังกล่าวจะเกิดกับใคร

        http://www.ipest.ac.th อธิบายถึงประโยชน์ที่จะนำไปใช้ได้จริง ในด้านวิชาการ เช่น จะเป็นการค้นพบทฤษฎีใหม่ซึ่งสนับสนุนหรือ คัดค้านทฤษฎีเดิม และประโยชน์ในเชิงประยุกต์เช่น นำไปวางแผนและกำหนด
นโยบายต่างๆ หรือประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อหาแนวทางพัฒนาให้ดีขึ้น เป็นต้น โดยครอบคลุม
ทั้ง ผลในระยะสั้น และระยะยาว ทั้งผลทางตรง และทางอ้อม และควรระบุในรายละเอียดว่า ผล
ดังกล่าว จะตกกับใคร เป็นสำคัญ ยกตัวอย่าง เช่น โครงการวิจัยเรื่อง การฝึ กอบรมอาสาสมัคร ระดับ
หมู่บ้าน ผลในระยะสั้นก็อาจจะได้แก่จำนวนอาสาสมัครผ่านการอบรมในโครงการนี้ส่วนผลกระทบ
(impact)  โดยตรง ในระยะยาว ก็อาจจะเป็น คุณภาพชีวิตของคนในชุมชนนั้น ที่ดีขึ้น ส่วนผล
ทางอ้อม อาจจะได้แก่การกระตุ้นให้ประชาชน ในชุมชนนั้นมีส่วนร่วม ในการพัฒนาหมู่บ้านของ
ตนเอง
สรุป
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย เป็นความสำคัญของการวิจัยที่ผู้วิจัยพิจารณาว่าการวิจัยเรื่องนั้นทำให้ทราบผลการวิจัยเรื่องอะไร และผลการวิจัยนั้นมีประโยชน์ต่อใคร อย่างไร เช่น การระบุประโยชน์ที่เกิดจากการนำผลการวิจัยไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มพูนความรู้ หรือนำไปเป็น แนวทางในการปฏิบัติ หรือแก้ปัญหา หรือพัฒนาคุณภาพ หลักในการเขียนมีดังนี้
1. ระบุประโยชน์ที่อาจเกิดจากผลที่ได้จากการวิจัย
2. สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และอยู่ในขอบเขตของการวิจัยที่ได้ศึกษา
3. ในกรณีที่ระบุประโยชน์มากกว่า 1 ประการ ควรระบุเป็นข้อ
4. เขียนด้วยข้อความสั้น กะทัดรัด ชัดจน
5. การระบุนั้นผู้วิจัยต้องตระหนักว่ามีความเป็นไปได้
อ้างอิง
http://www.unc.ac.th/elearning/elearning1/Duddeornweb/impact1.htm   เข้าถึงเมื่ 25 พฤศจิกายน 2555
http://images.arunratbam.multiply.multiplycontent.com/  เข้าถึงเมื่ 25 พฤศจิกายน 2555
http://www.ipest.ac.th   เข้าถึงเมื่ 25 พฤศจิกายน 2555